HIV เชื้อร้ายในอดีตที่ทุกคนหวาดกลัว สู่การใช้ชีวิตอย่างปกติในปัจจุบัน

HIV เชื้อร้ายในอดีตที่ทุกคนหวาดกลัว สู่การใช้ชีวิตอย่างปกติได้ในปัจจุบัน

เผยแพร่: 5 มิ.ย. 2561 10:00:   ปรับปรุง: 5 มิ.ย. 2561 13:27:   โดย: MGR Online 

ประมาณปี 2534-2539 ยุคแรกเริ่มที่ HIV ระบาด ใครที่ได้รับเชื้อนี้เข้าใจได้ทันทีว่าต้องมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ถูกสังคมรังเกียจ และเสียชีวิตอย่างทรมาน ด้วยความรู้ความเข้าใจต่อเชื้อ HIV ในสมัยนั้นค่อนข้างน้อย การรักษายังไม่ทันสมัยเท่าปัจจุบัน ส่งผลให้เชื้อร้ายนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว มีคนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ที่ร้ายไปกว่านั้นมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ต้องรับเชื้อมาจากพ่อแม่อย่างไม่ตั้งใจ เมื่อพ่อแม่ตายก็ไม่มีญาติที่สมัครใจรับเลี้ยงเพราะกลัวว่าจะติดเชื้อร้ายนี้ไปด้วย

ในปี 2544 คาร์ล มอร์สบัค ชาวเยอรมันที่สนใจปัญหาเกี่ยวกับโรคเอดส์ และเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อ HIV เริ่มสร้างบ้านแกร์ด้าหลังแรกด้วยเงินส่วนตัว โดยวัตถุประสงค์แรกเพื่อให้เป็นที่พักแก่เด็ก ๆ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ให้เขาได้เสียชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี และเมื่อพบว่าปัญหาเด็กติดเชื้อ HIV มีมากขึ้นจึงได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ระดมทุนเพื่อทำโครงการบ้านแกร์ด้าต่อไป แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป การแพทย์ก้าวหน้าขึ้น บ้านแกร์ด้าจึงไม่ใช่ที่สำหรับรอวันตายอีกต่อไปแต่เป็นที่สำหรับการมีชีวิตอยู่

บ้านแกร์ด้าเป็นโครงการของมูลนิธิสิทธิเด็กซึ่งเป็นองค์การการกุศลไม่แสวงหากำไร ปัจจุบันมีเด็กที่ได้รับการดูแลที่บ้านแกร์ด้า 53 คน มีเด็กที่อาศัยอยู่กับญาติแต่อยู่ในความดูแลของบ้านแกร์ด้า 32 คน และมีเด็กที่สามารถออกไปใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองแล้วกว่า 50 คน ที่ผ่านมามีเด็กและผู้ใหญ่ที่ผ่านการดูแลจากบ้านแกร์ด้ารวมทั้งหมด 150 คน

คุณขวัญใจ สารสว่าง เลขาธิการมูลนิธิสิทธิเด็กบ้านแกร์ด้า เล่าว่า การดูแลเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อ HIV ของเราอาจจะแตกต่างจากบ้านเด็กกำพร้าอื่น ๆ บ้านแกร์ด้าเป็นองค์กรเดียวในประเทศไทยที่ใช้การดูแลเด็กกำพร้าแบบระบบ ครอบครัวเพราะมีความเชื่อว่าระบบครอบครัวจะช่วยให้เด็ก ๆ มีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจเราจึงพยายามสร้างครอบครัวใหม่ให้กับเด็ก ๆ และพยายามให้พวกเขามีชีวิตใกล้เคียงเด็กปกติให้มากที่สุด

แต่ในความโชคร้ายก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น เมื่อยาต้านไวรัสเอชไอวีมีราคาถูกลง และมีกำลังพอที่จัดหามาให้เด็ก ๆ ได้ โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้บริจาคหลายรายจนทำให้บ้านแกร์ด้าสามารถที่จะให้ยา และการดูแลแก่เด็ก ๆ ในระยะยาวได้

นอกจากยาต้านและเงินบริจาคแล้ว ปัจจุบันบ้านแกร์ด้าได้รับความกรุณาจากคณะนักวิจัยคนไทยที่คิดค้นงานวิจัยสำหรับผู้ติดเชื้อ HIV สนับสนุนงานวิจัยที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายทุกเดือน ทำให้เด็กในบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

คณะนักวิจัยดังกล่าวนำโดย.ดร.พิเชษฐ์วิริยะจิตราหัวหน้าคณะนักวิจัยOperation BIM เล่าว่าเราได้มารู้จักกับบ้านแกร์ด้าในปี2554 เด็กที่นั่นเริ่มมีชีวิตที่ดีขึ้นบ้างจากการได้รับยาต้านและเราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เด็กในบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเริ่มแรกเราเข้าไปดูแลเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดก่อน17 คนจาก70 กว่าคนที่อยู่ในบ้าน

อาการของแต่ละคนนั้นมีตั้งแต่เริ่มติดเชื้อราแบคทีเรียไปจนถึงขั้นเป็นมะเร็งหลังจากรับการดูแลด้วยงานวิจัยOperation BIM ไป2-3 เดือนทุกคนเริ่มมีอาการที่ดีขึ้นรวมทั้งคนที่เป็นมะเร็งตับระยะลุกลามซึ่งอาการค่อนข้างหนักระหว่างนี้เราได้ตรวจเลือดวัดระดับภูมิคุ้มกันที่เรียกว่าCD4 อย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งครบ1 ปีผลการตรวจCD4 ของทุกคนเพิ่มขึ้นในระดับที่น่าพอใจทุกคนมีหน้าตาที่สดใสและมีผิวพรรณที่ดีขึ้นโดยเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งตับซึ่งตอนนี้มีสุขภาพแข็งแรงเกินกว่า4 ปีสามารถออกไปทำอาชีพของตัวเองได้หลังจากนั้นบริษัทเอเชียนไฟย์โตซูติคอลส์จำกัด (มหาชน) หรือAPCO ซึ่งเป็นเจ้าของนวัตกรรมก็ได้สนับสนุนงานวิจัยให้แก่เด็กทุกคนในบ้านทุกเดือนจนถึงปัจจุบันและได้สัญญากับเด็กว่าจะให้เขาได้ใช้งานวิจัยของเราฟรีตลอดไปเพื่อให้เขาโตขึ้นด้วยสุขภาพที่ดีและเป็นกำลังของสังคมเช่นคนปกติทั่วไป

งานวิจัยฯที่เราเข้าไปสนับสนุนนั้นมีส่วนช่วยในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายเพิ่มความสมดุลของเม็ดเลือดภูมิคุ้มกัน (CD4) ขณะที่ยาต้านจะออกฤทธิ์ยับยั้งการแพร่เชื้อไวรัสHIV ให้ลดน้อยลงได้และช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดT Cell

คณะนักวิจัยของเรามีการค้นคว้างานวิจัยสำหรับผู้ติดเชื้อมาเป็นระยะเวลาเกินกว่า10 ปีจากสารเสริมประสิทธิภาพจากมังคุดงาดำถั่วเหลืองฝรั่งและใบบัวบกโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ประกาศให้งานวิจัยของเราเป็นนวัตกรรมของชาติไทยในการดูแลผู้มีปัญหาการติดเชื้อ

คุณขวัญใจจากบ้านแกร์ด้าและคณะนักวิจัยOperation BIM มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือช่วยกันประคับประคองเด็กที่ติดเชื้อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้รับโอกาสในการทำงานให้พวกเขาได้มีความภูมิใจในตัวเองมีอาชีพและมีสังคมเช่นเดียวกับคนทั่วไป

 

Visitors: 379,296